ตลาดความงามแสนล้าน บูม! หนุนคลินิกคืนชีพ สาขาทั่วไทยเปิดแซงหน้าก่อนโควิด ’แอลเลอร์แกน‘ สบช่อง ส่ง HArmonyCa พร้อมเสิร์ฟ

น.ส.รัชนา ดังโกสินทร์ ผู้บริหาร แอลเลอร์แกน เอสเธติกส์ ประเทศไทยเปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดความงามปี2568 นี้ คาดว่ามีมูลค่าประมาณ100,000 ล้านบาทเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักติดต่อกันตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความงาม บุคลิกภาพ และรูปลักษณ์ภายนอกเพิ่มขึ้น บวกกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมความงามมีความเข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่มีผู้เล่นรายใหญ่เพียง 2-3 ราย ปัจจุบันมีรายใหม่ๆเข้าในตลาดจำนวนมาก

ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนคลินิกเสริมความงามเปิดบริการแซงหน้าช่วงก่อนโควิด-19 ไปแล้ว หลังจากช่วงที่เกิดโควิด-19 ได้ปิดให้บริการไปหลายร้อยราย เนื่องจากขณะนี้บรรดาแพทย์จบใหม่หันมาเปิดคลินิกให้บริการเองทันทีอย่างน้อย 1-2 สาขา จากเดิมที่ไปหาประสบการณ์ในคลินิกและโรงพยาบาลเสริมความงามก่อน ขณะที่เชนรายใหญ่ๆเองก็ยังเปิดให้บริการเพิ่มต่อเนื่องแม้จะขยายตัวปีละ 2-3 สาขา เน้นทำเลที่มีประสิทธิภาพ ไม่เน้นปริมาณที่เปิดปีละ 10-15 สาขา เหมือนในอดีต

ส่วนใหญ่เริ่มมีการขยายตัวของคลินิกที่ให้บริการรูปแบบหัตถการมากกว่าการทำศัลยกรรมเพื่อรองรับพฤติกรรมคนยุคใหม่ที่ไม่กล้าเสี่ยงผ่าตัด จึงนิยมฉีดปรับรูปหน้าชะลอริ้วรอย ลด เติม เพื่อความสวย อาทิ ฉีดโบท็อกซ์ ฉีดฟิวเลอร์ ฉีดผิวขาว ซึ่งถือเป็นเทรนด์ในยุคนี้มีส่วนใหญ่ต้องการโชว์ผิวใส มีความเป็นธรรมชาติ

ทั้งนี้ ทำให้ตลาดฟิลเลอร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยจำกัดอยู่ในกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป ปัจจุบันมีคนอายุ 20 กว่าปีเริ่มเข้ามาใช้บริการเพิ่ม และแนวโน้มการใช้ฟิลเลอร์จะเติบโตต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีราคาที่ย่อมเยาว์กว่าการทำศัลยกรรม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท ขณะที่การทำศัลยกรรมอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านบาท เทรนด์นี้ยังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก และคาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาค

น.ส.รัชนา กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทที่จำหน่ายฟิลเลอร์จากที่มีเพียง 1-2 ราย เพิ่มเป็น 15 ราย และทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นส่งผลให้ปีนี้บริษัทเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ในชื่อ “HArmonyCa”ซึ่งช่วยยกกระชับผิวหน้าจับกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปโดยเฉพาะ Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก หลังจากที่ผ่านมาจำหน่ายสินค้าไปแล้วประมาณ 10-12 รายการโดยฟิลเลอร์ขายดีที่สุด คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์จูวีเดิร์มและสารลดเลือนริ้วรอย

สำหรับแผนการทำตลาดนั้นจะเน้นสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ โดยใช้งบประมาณทางการตลาดมากกว่า 15% ของยอดขายทั้งหมด มีการทำสื่อนอกบ้าน และดึงพระเอกชื่อดัง “มาริโอ้-เมาเร่อ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ใช้ “ต่อ-ธนภพ”

โดยเชื่อว่าการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นที่รู้จักจะช่วยสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจและรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น อีกทั้งยังขยายช่องทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น YouTube,Facebook และ TikTok โดยเพิ่มจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้ามาโปรโมทผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น

“ปัจจุบันบริษัทมีพันธมิตรคลินิกเสริมความงามมากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น 10-15% ในทุกๆ ปี ด้วยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นสินค้านำเข้า กระบวนการผลิตเริ่มต้นจากการวิจัยและพัฒนาในโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ก่อนจะส่งออกให้แต่ละประเทศนำเข้ามาจำหน่าย”