“พิชัย” ถกหอการค้าดูไบหนุนยุทธศาสตร์ D33 ดันสินค้าไทยเจาะตลาดตะวันออกกลาง

2025-06-09 IDOPRESS

“พิชัย” หารือหอการค้าดูไบ หนุนขยายการค้า-ลงทุนไทย–ยูเออี ใช้โอกาสจากยุทธศาสตร์ D33 ดันสินค้าศักยภาพสู่ตลาดตะวันออกกลาง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้การต้อนรับ H.E. Mohammad Ali Rashed Lootah ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหอการค้าดูไบ (Dubai Chambers) ในโอกาสเข้าหารืออย่างเป็นทางการ ณ ห้องรับรอง ชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และหารือแนวทางการส่งเสริมการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศอย่างรอบด้าน

นายพิชัย เปิดเผยว่า การหารือในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนของโลก โดยเฉพาะในบริบทของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระดับทวิภาคีอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยฝ่ายไทยได้แสดงความพร้อมในการเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจของยูเออีในภูมิภาคอาเซียน และส่งเสริมให้ภาคเอกชนของไทยเข้าไปมีบทบาทในตลาดยูเออีมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ การใช้เครือข่ายการค้าในดูไบขยายสู่ตลาดใกล้เคียงในแอฟริกาเหนือและยุโรปตะวันออก

โดยให้ความสำคัญของการสร้างระบบสนับสนุนธุรกิจอย่างยั่งยืน อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเศรษฐกิจ การร่วมกันจัดอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ การส่งเสริม e-commerce ระหว่างประเทศ และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น (resilient supply chain) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

พร้อมกันนี้ ไทยยังเล็งเห็นศักยภาพของดูไบภายใต้ยุทธศาสตร์ Dubai Economic Agenda 2033 (D33) ที่ตั้งเป้าหมายยกระดับดูไบสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจระดับโลก โดยไทยสามารถใช้โอกาสจากนโยบายนี้ในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการบริการของไทยในสาขาที่มีความได้เปรียบ เช่น อาหารแปรรูป สุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและธรรมชาติ รวมถึงบริการด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Medical Tourism)

และตนยังแสดงความยินดีที่หอการค้าดูไบได้เปิดสำนักงาน Dubai International Chamber ประจำประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นสำนักงานแห่งที่ 36 ของโลก โดยสำนักงานดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกิจ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า และการจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน H.E. Mohammad Ali Rashed Lootah ได้แสดงความพร้อมในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างยูเออีและไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศได้มีโอกาสสร้างเครือข่าย ลงทุน และดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน พร้อมระบุว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของยูเออีในภูมิภาคเอเชีย และมีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยว โดยยูเออีตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเป็นสองเท่าภายในปี 2574 ซึ่งไทยถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันเป้าหมายให้เป็นจริง

ยูเออีทราบเป็นอย่างดีว่าไทยมีความเป็นเลิศในด้านอาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ในด้านของยูเออีก็มีความเชี่ยวชาญด้าน ไอที และ หุ่นยนต์ เช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้ทางยูเออีมั่นใจว่าทั้งไทยและยูเออีจะสามารถนำความเชี่ยวชาญทั้งสองอย่างมาผสานกันจนสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีความก้าวหน้า สามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่มกำไรได้

ในช่วงท้าย นายพิชัย ยังได้ฝากความระลึกถึงไปยัง ดร.ธานี บิน อาเหม็ด อัล เซยูดี รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ ซึ่งได้เคยนำคณะนักธุรกิจ UAE ที่มีศักยภาพสูงในการลงทุนเดินทางเยือนไทย เพื่อเชิญชวนมาลงทุนในประเทศ รวมทั้งได้ติดต่อประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งการประชุมเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement :CEPA) ระหว่าง ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเห็นตรงกันที่จะเร่งผลักดันการเจรจา FTA ให้สามารถสรุปผลได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อภาคธุรกิจของสองฝ่ายต่อไป

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับ UAE อยู่ที่ประมาณ 20,688 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 8.53% และ ปี 2568 (ม.ค. – เม.ย. 2568) มีมูลค่า 7,825.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 31.10% โดยปี 2568 (ม.ค. – เม.ย.) สินค้ำที่ไทยส่งออกไปยูเออี 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2) อัญมณีและเครื่องประดับ 3) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 4) ข้าว 5) ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สินค้ำที่ไทยนำเข้าจากยูเออี 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) น้ำมันดิบ 2) เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ 3) ก๊าซธรรมชาติ 4) น้ำมันสำเร็จรูป 5) ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา

ล่าสุด

Talks Between Chairman of the Board of Directors of TIENS Group and Uzbekistan's Deputy Prime Minister Discussing New Developments In Digital Health Under the "Belt and Road Initiative"

08-11

ทีทีบี ยกหนี้ทหารกล้าพลีชีพ ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ทิ้งภาระให้ครอบครัว

08-08

หุ้นเช้านี้เปิดบวก 8.54 จุด Fund Flowไหลเข้าต่อ

08-08

‘กกพ.’ ชี้ช่องร้องเรียนเครื่องใช้ไฟฟ้า-ธุรกิจเสียหาย!! เหตุไฟดับสะพานควาย สั่งแจงเหตุเชิงลึกใน 7 วัน

08-08

ปลัดอุตฯ สั่งกรมโรงงานเน้นใช้เทคโนโลยีจัดการ พร้อมเปลี่ยนการทำงาน ‘ตั้งรับ’ เป็น ‘ปรับรุก’

08-08

GULF ตั้งกองทุน 100 ล้านบาท หนุนขวัญกำลังใจทหารชายแดนไทย – กัมพูชา และครอบครัว

08-08

บางจากฯ เปิดผลประกอบการครึ่งปีแรก รักษาเสถียรภาพท่ามกลางราคาน้ำมันผันผวน

08-08

เชฟรอน ผนึก BCPR ลุยสำรวจปิโตรเลียมทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65

08-08

ประชาชน-ธุรกิจไม่เชื่อมั่นศก. ทุบดัชนีต่ำสุด 30 เดือน โดนการเมืองในประเทศ-ขัดแย้งเขมร-ภาษีสหรัฐ ถล่ม

08-08

เจาะลึกอสังหาฯ ‘กรุงเทพฯ’แชมป์ คนไทยซื้อมากที่สุด ตามแนวรถไฟฟ้าย่านอ่อนนุชมาแรง

08-08

©ลิขสิทธิ์ 2009-2020 โพสต์ตอนเช้าไทย      ติดต่อเรา   SiteMap