2025-06-09 IDOPRESS
ไทยศูนย์กลางความงามระดับอาเซียน โตโดดเด่นปีละ11% อินฟอร์มา สบช่อง การจัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ที่จะเชื่อมโยงผู้ประกอบการระดับโลก
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเป็นศูนย์กลางของตลาดความงามในอาเซียน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่โดดเด่นถึง 11% ซึ่งอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาคและเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตลาดความงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีที่ผ่านมา
“ประเทศไทยมีศักยภาพมากกว่าแค่ตลาดที่น่าสนใจ ทำเลที่ตั้งซึ่งเชื่อมต่อภูมิภาคได้สะดวก บวกกับโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ทำให้เหมาะอย่างยิ่งในการเป็นเจ้าภาพจัดเวทีการค้าความงามระดับ B2B อย่างการจัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ที่จะเชื่อมโยงผู้ประกอบการระดับโลก นักลงทุน ผู้นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศ และผู้ซื้อรายสำคัญ เปิดโอกาสให้เกิดการพบปะแชร์เทรนด์ แลกเปลี่ยนความรู้ และเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมความงามอาเซียนสู่ระดับโลก”
Cosmoprof CBE ASEAN เกิดจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง BolognaFiere,Informa Markets และ Shanghai Baiwen Exhibition Co.,Ltd.พร้อมพันธมิตรในแวดวงอุตสาหกรรม โดยปี 2568 นี้เป็นครั้งที่ 4 ของการจัดงาน ระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 17,000 รายจากกว่า 20 ประเทศ อาทิ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ อิตาลี สหรัฐอเมริกาฯลฯ
งานในปีนี้จะนำเสนอเทรนด์ความงามระดับโลกที่ครอบคลุมทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและธรรมชาติ อาหารเสริม บริการรับจ้างผลิต (OEM/ODM) บรรจุภัณฑ์ ฟินิชโปรดัก
ไปจนถึงเทคโนโลยีการผลิตล้ำสมัย พร้อมโซนกิจกรรมเชิงประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ โดยจะมีพาวิลเลียนระดับประเทศจากผู้นำอุตสาหกรรมความงามของโลก เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอิตาลี พร้อมเวิร์กช็อปและการสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก
นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เปิดเผยว่า ปี67 ที่ผ่านมา ตลาดความงามอาเซียนมีมูลค่า 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 16% ในระหว่างปี67-71 จึงเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอุตสาหกรรมความงามและเครื่องสำอางเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยประเทศมีความต้องการมากสุดได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ จากผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยว ตามเทรนด์ที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงตามสีผิวและสภาพอากาศของท้องถิ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์แนวธรรมชาติ ออร์แกนิก ที่โตปีละ 9.2% ตามกระแสแบบคลีน วีแกน ปลอดสารพิษ และไม่ทดลองในสัตว์
ขณะที่กลุ่มสินค้ามาแรงที่น่าจับตามอง ได้แก่ กลุ่มดูแลผู้ชายที่เริ่มมีพฤติกรรมการดูแลผิวและผมมากขึ้น รวมถึงกลุ่มผมสีเงินสำหรับผู้สูงอายุ ที่มองหาผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย อ่อนโยน และใช้งานง่าย โดยคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมความงามอาเซียนจะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นความยั่งยืน
นายชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประเทศไทยและมาเลเซีย บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ผู้บริโภคปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงผู้ซื้อ แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางการตลาด โดยกลุ่มสินค้าความงามและของใช้ส่วนบุคคล ถือเป็นหนึ่งในสินค้าหลักของประเทศไทย โดยในปี67 หมวดความงาม (สกินแคร์และเมกอัพ) เติบโตโดดเด่นถึง 12% ขณะที่เมกอัพโต 11%
สำหรับปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือ การที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวที่ดี และยินดีจ่ายเงินให้กับสกินแคร์มากกว่าเมกอัพ สะท้อนจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่เริ่มทำตลาดพรีเมี่ยมมากขึ้น ขณะที่กลุ่มบอดี้แคร์และแฮร์แคร์มีการเติบโตลดลง ดังนั้นแบรนด์จึงต้องปรับกลยุทธ์เน้นการบำรุงที่ล้ำลึกและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่มีแนวโน้มเปลี่ยนแบรนด์บ่อยขึ้นและใช้หลายแบรนด์ร่วมกัน และปัจจุบันสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์
ดังนั้น แบรนด์ไม่จำเป็นต้องอยู่ทุกที่ แต่ควรจะอยู่ให้ถูกที่ เพราะจากผลวิจัยพบว่า 95% ของนวัตกรรมในตลาดความงามล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ ดังนั้น แบรนด์ที่มีข้อมูลเชิงลึก และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างถ่องแท้จึงจะประสบความสำเร็จในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้
06-09
06-09
06-09
06-09
06-09
06-09
06-09
06-09
06-09
06-09