ส่งออกทองยังแรง เดือน เม.ย.โต 250% อานิสงส์เก็งกำไร ลดความเสี่ยง ส่วนอัญมณีและเครื่องประดับพุ่ง 6 เดือนติด มูลค่า 714.90 ล้านดอลลาร์ บวก 39.62% เนื่องจากการเร่งนำเข้าหนีอัตราภาษีใหม่

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ จีไอที เปิดเผยว่า การส่งออกทองคำของไทยยังมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน เม.ย. 68 มีมูลค่าการส่งออกถึง 1,011 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 250% สาเหตุมาจากการส่งออกไปเก็งกำไร และตามความต้องการหาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐ การตอบโต้ของคู่ค้าหลายประเทศ ทำให้ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

สำหรับยอดรวมส่งออกทองคำ 4 เดือน มีมูลค่า 4,561 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 141% และแยกเป็นรายเดือน ม.ค. 68 มูลค่า 1,167 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 148% เดือน ก.พ. 68 มูลค่า 933 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.4% เดือน มี.ค. 68 มูลค่า 1,447 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 269.55%

นายสุเมธ กล่าวว่า ส่วนการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ไม่รวมทองคำ เดือน เม.ย. 68 มูลค่า 714.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 39.62% ขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกัน แต่หากนับรวมทองคำมูลค่า 1,726.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 115.65% ทำให้การส่งออกรวม 4 เดือนของปี 68 (ม.ค.-เม.ย.) การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ไม่รวมทองคำ มูลค่า 5,801 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 91.76% รวมทองคำ มูลค่า 10,362 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 110.82%

ด้านตลาดส่งออกสำคัญ สหรัฐ ยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 24.83% จากการเร่งนำเข้า เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษี ฮ่องกง เพิ่ม 12.03% เยอรมนี เพิ่ม 8.11% อิตาลี เพิ่ม 1.72% สหราชอาณาจักร เพิ่ม 29.37% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่ม 14.24%  โดยส่วนการส่งออก แพลทินัม ยังเพิ่มสูงถึง 135,096% จากการส่งออกไปอินเดียเกือบทั้งหมด เครื่องประดับเงินเพิ่ม 20.19% เครื่องประดับทอง เพิ่ม 8.16%  

“แนวโน้มการส่งออกในเดือน พ.ค. 68 คาดยังคงขยายตัวได้ดีในหลายตลาด โดยเฉพาะสหรัฐ เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีตอบโต้ที่จะเริ่มมีผล 8 ก.ค.นี้  แต่ก็ต้องระวังปัจจัยเสี่ยง ความไม่แน่นอนนโยบายการค้าสหรัฐ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทแข็งค่าที่จะฉุดขีดความสามารถในการส่งออก”