2025-06-24 IDOPRESS
"ปิดช่องแคบฮอร์มุซ" กระทบเงินในกระเป๋าคนไทยเต็มๆ กับมาตรการช็อกโลกของอิหร่าน "พรายพล" เตือนรัฐบาลไทย รับมือด่วน!! ราคาพลังงานโลกพุ่งขึ้นแน่
หลังจาก “อิหร่าน” ประกาศมาตรการช็อกโลก!! สั่งปิด ช่องแคบ “ฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติผ่านพื้นที่นี้ประมาณ 20% ของทั่วโลก หากขั้นตอนกระบวนการถูกสั่งปิดจริง ถึงขนาดรัฐบาลสหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลจีน ช่วยยับยั้งไม่ให้อิหร่าน ปิดช่องแคบฮอร์มุซ
ประเด็นร้อนแรงนี้ ถ้าพูดถึงผลกระทบในวงกว้าง ต้องบอกว่า ยิ่งใหญ่มากกว่าประเด็นประเทศกัมพูชา ประกาศ ระงับนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จากไทยตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. เป็นต้นไป เพราะประเด็นกัมพูชา ผู้ได้รับผลกระทบเต็มๆ คือ ชาวกัมพูชา ที่นิยมเข้าปั๊มน้ำมันไทย อย่างปั๊มพีทีที สเตชั่น ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือโออาร์ ที่เคยเปรียบประเทศกัมพูชา เป็นบ้านหลังที่สอง มีสาขาปั๊มล่าสุด 186 แห่ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ อีกเช่นกัน
แต่ประเด็น “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” คนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จะเป็นคนทั่วโลก รวมถึงคนไทยด้วย ถึงขนาดมีการกล่าวกันว่า ถ้า “ช่องแคบฮอร์มุซ” เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจทีเดียว เรื่องนี้ “พรายพล คุ้มทรัพย์” นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์อธิบายผ่านเฟสซบุ๊ก : Praipol Koomsup แสดงความคิดเห็นถึงช่องแคบฮอร์มุซกับพลังงานกับพลังงานไทย ภูมิศาสตร์และความสําคัญเชิงกลยุทธ์ของช่องแคบฮอร์มุซว่า
ช่องแคบฮอร์มุซเป็นจุดแคบ ๆ ที่เชื่อมต่ออ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมานและทะเลอาหรับ ขนาบข้างด้วยอิหร่านทางทิศเหนือและคาบสมุทรมูซานดัมของโอมานทางทิศใต้ มีจุดที่แคบ ที่สุดกว้างประมาณ 33-39 กม. แต่เส้นทางเดินเรือที่กําหนดมีความกว้างเพียงประมาณ 3 กม. ในแต่ละทิศทางคั่นด้วยเขตกันชนเพื่อความปลอดภัย ช่องแคบมีความลึกสุดมากถึง 200 เมตร อยู่ใกล้ฝั่งโอมาน ซึ่งหมายความว่าเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ด้วย
“ช่องแคบฮอร์มุซ” มีความสําคัญมากในด้านพลังงาน เพราะเป็นช่องทางออกทางทะเลเพียงจุดเดียวจากอ่าวเปอร์เซีย โดยประมาณหนึ่งในห้าของน้ำมันของโลก (ประมาณ 17-18 ล้านบาร์เรลต่อวันของน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน) ถูกขนส่งผ่านช่องแคบนี้ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จํานวนมาก (โดยเฉพาะจากกาตาร์) ก็ส่งผ่านช่องแคบนี้ด้วย เกาะเล็ก ๆ ในบริเวณช่องแคบถูกควบคุมโดยอิหร่าน และอิหร่านก็มีฐานทัพเรือที่สําคัญภายในอ่าวด้วย ทําให้อิหร่านมีอิทธิพลต่อเส้นทางการขนส่งนี้ค่อนข้างมาก
ในขณะเดียวกัน สหรัฐมีกองเรือที่ห้า ซึ่งมีฐานอยู่ในบาห์เรน โดยมีความรับผิดชอบหลักในการคุ้มครองการจราจรทางทะเลในภูมิภาค และเน้นความสําคัญของช่องแคบฮอร์มุซที่มีต่อความมั่นคงทาง เศรษฐกิจของโลก
ประเทศไทยกับช่องแคบฮอร์มุซ
ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้พลังงานจากน้ำมันเป็นสัดส่วนประมาณเกือบ 40% ของพลังงานทั้งหมด และใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณเกือบ 30% ของทั้งหมด ในขณะที่ไทยต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศประมาณ 85% ของน้ำมันที่ใช้ทั้งหมด และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติประมาณ 40% ของก๊าซที่ใช้ทั้งหมด (25% เป็น LNG และอีก 15% เป็นก๊าซผ่านท่อจากเมียนมา)
จึงกล่าวได้ว่าไทยต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากต่างชาติในสัดส่วนมากถึง 46% ของการใช้พลังงานทุกชนิดรวมกัน (น้ำมันนำเข้า 34% และก๊าซนำเข้า 12%) ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลาง (แหล่งสำคัญคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน) และเป็นน้ำมันที่ขนส่งมาทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
ส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากตะวันออกกลาง ในส่วนของก๊าซธรรมชาติ ไทยนำเข้า LNG จากตะวันออกกลางเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของการนำเข้า LNG ทั้งหมด (25% จากกาตาร์ 5% จากโอมาน) โดยเกือบทั้งหมดต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
สรุปได้ว่า “อย่างน้อยหนึ่งในสามของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยคือน้ำมันและก๊าซที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ”
ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะทำให้ไทยขาดพลังงานไปเป็นจำนวนหนึ่งในสามของพลังงานทั้งหมด ที่จะขาดแคลนมากที่สุดคือน้ำมัน เพราะมีสัดส่วนที่ลดลงมากที่สุด แต่ปัญหาคงไม่ใช่เฉพาะไม่มีน้ำมันและก๊าซให้ใช้ได้อย่างเพียงพอเท่านั้น เชื่อกันว่าการปิดช่องแคบนี้จะก่อให้เกิดราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะจะเกิดการขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก (supply ลดลงไป 20%) วงการน้ำมันคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาเรลอย่างแน่นอน และอาจขึ้นไปสูงถึง 200 ดอลลาร์ก็เป็นได้
หากการปิดช่องแคบมีผลเป็นเวลาไม่นานเกินหนึ่งเดือน ไทยก็ยังคงมีน้ำมันเหลือใช้อย่างเพียงพอ โดยอาศัยสต๊อกน้ำมันสำรอง (ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินว่ามีสต๊อกให้ใช้ได้เป็นเวลา 60 วัน) อีกทั้งยังสามารถซื้อน้ำมันจากแหล่งผลิตในประเทศอื่นๆ นอกพื้นที่ตะวันออกกลางได้บ้าง แต่ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมากและจะทำให้ต้นทุนน้ำมันนำเข้าสูงขึ้นมากเช่นกัน
หากรัฐบาลไม่ใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาขายปลีกของน้ำมันก็จะสูงขึ้น และก็จะทำให้ค่าขนส่งและราคาสินค้าต่างๆ สูงขึ้นด้วยจนกลายเป็นปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาที่รุมเร้าซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่แล้ว หากรัฐบาลเลือกใช้การอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ยิ่งจะทำให้กองทุนฯ ติดลบและเป็นหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก จากในปัจจุบันที่ติดลบอยู่ประมาณ 36,000 ล้านบาท
การปิดช่องแคบฮอร์มุซเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะทำให้ปริมาณ LNG จากตะวันออกกลางที่ขนส่งมาไทยขาดแคลนและแพงขึ้นได้เช่นกัน และก็จะมีผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นได้
ดังนั้น สถานการณ์การสู้รบและความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจึงเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐได้ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดชนิด bunker buster เพื่อทำลายศูนย์พัฒนานิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่านเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าอิหร่านจะตอบโต้สหรัฐ หรือไม่อย่างไร และเชื่อกันว่าหนึ่งในทางเลือกของอิหร่านคือการขัดขวางการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ หากอิหร่านตัดสินใจเลือกทางเลือกนี้และสร้างอุปสรรคในเส้นทางเดินเรือนี้ได้จริง ตลาดน้ำมันคงปั่นป่วนวุ่นวาย และไทยเราคงต้องเตรียมเผชิญกับความยากลำบากด้านพลังงานและเศรษฐกิจอีกรอบหนึ่ง
ส่วนความสามารถ และกลยุทธ์ของอิหร่านในการคุกคามหรือปิดกั้นช่องแคบ
อิหร่านมักขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อตอบโต้แรงกดดันจากตะวันตก ตัวอย่างเช่น เคยประกาศว่าหากอิหร่านถูกขัดขวางไม่ให้ส่งออกน้ำมัน “ก็จะไม่ให้มีการส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียเลย” เท่าที่ผ่านมา อิหร่านได้ใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และกองกำลังในน่านน้ำ เพื่อขัดขวางหรือปิดกั้นการเดินเรือในช่องแคบเป็นเวลาสั้นๆ โดยอาวุธยุทโปกรณ์สำคัญที่ใช้ประกอบด้วย
ทุ่นระเบิดในน้ำ : เชื่อกันว่าอิหร่านมีทุ่นระเบิดเป็นจำนวนหลายพันลูกที่สามารถวางในเส้นทางเดินเรือของช่องแคบได้อย่างรวดเร็ว และอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเหล่านี้ได้หมด
จรวดและโดรน : อิหร่านได้พัฒนาจรวดและโดรนที่ติดตั้งระเบิดเพื่อคุกคามเรือบรรทุกน้ำมัน หรือเรือรบของสหรัฐ ในอ่าวเปอร์เซีย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันและก๊าซของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงซาอุดัอาระเบีย ได้อีกด้วย
เรือเร็ว : อิหร่านมีกองเรือโจมตีเร็วและเรือสปีดโบ๊ทขนาดต่างๆ ซึ่งมักติดอาวุธด้วยปืนกล จรวดขีปนาวุธ ต่อต้านเรือ หรือแม้แต่วัตถุระเบิดสําหรับการโจมตีแบบพลีชีพ เรือเร็วเหล่านี้เหมาะสำหรับการโจมตีแบบเป็นฝูง ซึ่งอิหร่านเคยใช้ในการบุกเพื่อยึดเรือบรรทุกน้ำมันในช่องแคบนี้มาแล้ว
เรือดําน้ำและกองทัพเรือชายฝั่ง : กองทัพเรือของอิหร่านมีเรือดําน้ำจํานวนหนึ่งที่สามารถวางทุ่นระเบิด หรือยิงตอร์ปิโดในน่านน้ำอ่าวตื้นได้ รวมทั้งเรือรบผิวน้ำอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับกองเรือรบของสหรัฐ แต่ก็สร้างภัยคุกคามได้ในช่องแคบที่มีพื้นที่จํากัด
ผู้นําของอิหร่านมองว่าความสามารถในการคุกคามฮอร์มุซเป็นเครื่องมือยับยั้งและตอบโต้ ต่อสหรัฐ อิสราเอล และรัฐอ่าวอาหรับอื่นๆ ได้ และได้ฝึกซ้อมจําลองการปิดช่องแคบมาแล้ว อย่างไรก็ตาม อิหร่านมีแนวโน้มที่จะมองว่าการปิดช่องแคบเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” โดยจะใช้เฉพาะ ในกรณีที่มีการอยู่รอดของระบอบการปกครองเป็นเดิมพัน เพราะอิหร่านเข้าใจดีว่าการปิดช่องแคบจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากทั่วโลก
ความสามารถของสหรัฐและพันธมิตรในการรักษาช่องแคบให้เปิดกว้าง
สหรัฐอเมริกาได้ให้คํามั่นอย่างชัดเจนว่าจะเปิดช่องแคบฮอร์มุซให้เป็นเส้นทางขนส่งที่สะดวกและปลอดภัยตลอดเวลา โดยพิจารณาว่านี่เป็นผลประโยชน์ด้านความปลอดภัยของชาติที่สําคัญ กองเรือที่ห้าของสหรัฐ ซึ่งมีฐานทัพที่บาห์เรน มีภารกิจที่จะคุ้มครองเสรีภาพในการเดินเรือและการเคลื่อนย้ายสินค้าให้เป็นไปอย่างอิสระภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ในทางปฏิบัติ สหรัฐและพันธมิตร ได้พัฒนาความสามารถ และกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพื่อยับยั้งการแทรกแซงของอิหร่านในการใช้ช่องแคบ และเพื่อตอบโต้ความพยายามในการปิดล้อมใดๆ โดยอาศัยปัจจัยดังนี้
กำลังทางเรือที่เหนือกว่า : กองทัพเรือสหรัฐ มีทั้งกลุ่มเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือพิฆาตและเรือลาดตระเวน ติดตั้งขีปนาวุธนําวิถี กองเรือที่ห้ายังรวมถึงเรือลาดตระเวน เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกพร้อมนาวิกโยธิน เรือและหน่วยเฮลิคอปเตอร์ตอบโต้ทุ่นระเบิด อีกทั้งยานพาหนะใต้น้ำไร้คนขับและเรือโดรน เพื่อช่วยตรวจจับและเก็บกู้ทุ่นระเบิด
กองทัพเรือและพันธมิตร : สหรัฐทํางานอย่างใกล้ชิดกับกองทัพเรือพันธมิตรเพื่อตรวจตราช่องแคบฮอร์มุซ โดยกลุ่มพันธมิตรที่นําโดยสหรัฐ ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และอื่น ๆ ที่ดําเนินการลาดตระเวนอ่าวและคุ้มกันเรือพาณิชย์ สหราชอาณาจักรได้ส่งเรือรบเพิ่มเติม เพื่อคุ้มกันเรือที่ติดธงของสหราชอาณาจักร และจัดตั้งศูนย์สนับสนุน กองทัพเรือถาวรในบาห์เรน ฝรั่งเศสยังมีฐานทัพเรือในอาบูดาบี และเป็นผู้นําภารกิจเฝ้าระวังทางทะเลของ ยุโรป รัฐในภูมิภาค เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน จัดเรือลาดตระเวน และเครื่องบินที่สามารถมีส่วนร่วม ในการลาดตระเวนช่องแคบ และการสกัดกั้นภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์เชิงป้องกัน : สหรัฐมักเพิ่มกำลังทหารเพื่อยับยั้งความพยายามของอิหร่านในการคุกคามการเดินเรือในช่องแคบ เช่น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อิหร่านยึดเรือบรรทุกน้ำมันของชาติอื่นในช่องแคบอยู่หลายครั้ง และสหรัฐก็ตอบโต้ด้วยกำลังทหารโดยส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินทิ้งระเบิด และนาวิกโยธิน เข้ามาในพื้นที่เพื่อคุ้มครองการเดินเรือในช่องแคบและป้องกันไม่ให้อิหร่านเข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันในบริเวณช่องแคบ
เท่าที่ผ่านมา อิหร่านสามารถสร้างอุปสรรคต่อการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่สหรัฐและพันธมิตรก็มีวิธีตอบโต้และสามารถเปิดช่องแคบกลับมาได้เป็นผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามจากอิหร่านในการปิดช่องแคบก็ยังมีอยู่ ตราบใดที่ยังมีความตรึงเครียดขัดแย้งกันอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
06-24
06-24
06-24
06-24
06-24
06-24
06-24
06-24
06-24
06-24