2025-09-23 HaiPress
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ส่งมอบคาร์บอนเครดิต 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ให้กับ 7 องค์กรเอกชน ซึ่งเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย
มื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges,Local Solutions at Scale) ว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ส่งมอบคาร์บอนเครดิต 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ให้กับ 7 องค์กรเอกชน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการคุณดูแลป่า เราดูแลคุณ การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ทำมาตั้งแต่ปี 64 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา
สำหรับการส่งมอบคาร์บอนเครดิตให้ 7 องค์กรเอกชน มาจากความร่วมมือของ 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน ตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่มูลนิธิฯ สานต่อร่วมกับกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนกว่า 30 ราย ฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า 250,000 ไร่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
สำหรับ 7 องค์กรที่รับมอบคาร์บอนเครดิต ประกอบด้วย บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ,สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.),ธนาคารไทยพาณิชย์,บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่,บมจ.ทีเอ็มที สตีล,บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี, และ PwC ประเทศไทย
ส่วนการดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ผ่านมามูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ขยายพื้นที่การทำงานกับชุมชนไปแล้ว 4 ระยะ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 253,914 ไร่ ใน 267 ชุมชน โดยมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ 138,000 คน ล่าสุดชุมชนมีรายได้แล้ว 157 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตั้งเป้าหมายขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 32,000 ไร่ และในปี 2569 ยังเตรียมขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมอีก 120,000 ไร่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากให้ทุกคนตระหนัก คือ ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) โดยคาร์บอนเครดิตเป็นแค่หน่วยที่นับได้ในวันนี้ แต่ความหลากหลายทางชีวภาพ นั่นคือ สัตว์ แมลง พันธุ์พืชต่าง ๆ ยังนับไม่ได้ และจำเป็นต้องให้ความสำคัญ
ม.ล.ดิศปนัดา กล่าวด้วยว่า จำเป็นที่ต้องทบทวนการคำนวณต้นทุนของการดูแลพื้นที่ป่า โดยคำนวณถึงต้นทุนการดูแลป่าและปลูกป่าอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนวณถึงต้นทุนที่ทำให้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่านั้นสามารถที่อยู่รอดด้วย เพราะประเทศไทยมีความเฉพาะตัวตรงที่ว่า ในทุก ๆ พื้นที่ 1.5 ไร่จะเจอคนอยู่ 1 คนที่อยู่ในป่าหรือมีชีวิตที่พัวพันกับป่า ดังนั้นเรื่องรายได้ของคนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในโมเดลที่ต้องเดินต่อไปเพื่อสร้างความยั่งยืนแล้วก็อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ด้วย.
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30