2025-09-25 HaiPress
สำนักเศรษฐกิจทิสโก้ ชี้การเมืองคลี่คลาย แต่เสี่ยงรอบด้าน ส่งออกทรุด ท่องเที่ยวหด เกาะติดชายแดนไทย-กัมพูชา กดดันเศรษฐกิจ คนละครึ่ง 2.0 ช่วยไม่ได้มาก แค่ให้ยอดขายร้านค้าเพิ่ม กระจายกำลังซื้อ
วันที่ 24 ก.ย. นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.9% และในปี 69 อยู่ที่ 1.6% แม้การเมืองจะมีความคลี่คลายลงบ้างแต่มีความเสี่ยงอีกหลายด้าน ซึ่งจีดีพีในปี 69 โตต่ำกว่าปีนี้ เพราะผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐที่ได้เร่งการส่งออกสินค้าไปในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลกระทบต่อการส่งออกคาดว่าปีนี้โต 5.8% แต่ในปี 69 จะติดลบ 6%
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดี ไตรมาสแรก 3.2% และไตรมาสสอง 2.8% แต่ดูจากที่มาการเติบโต มาจากการเร่งส่งออกสินค้าจากมาตรการภาษีทรัมป์ พอหลังจากนี้ครึ่งหลังปีเป็นปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจหลังโตช้า ส่วนเรื่องการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้นทำให้โอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยลดลง โดยติดตามนโยบายรัฐบาลเตรียมทำคนละครึ่ง 2.0 ซึ่งอาจช่วยได้บ้าง แต่ไม่ได้กระตุ้นให้เติบโตได้ดี
นอกจากนี้ ต้องติดตามการเจรจาการค้าสหรัฐในเรื่องภาษีเพิ่มเติม ในส่วนของสินค้าสวมสิทธิว่าจะให้ใช้สัดส่วนการผลิตด้วยวัตถุดิบในประเทศเท่าไร โดยไทยคาดหวังว่าจะให้มีสัดส่วน 50-60% แต่ในบางประเทศอยู่สูงถึง 75-80% ทำให้ไทยอาจเป็นไปได้ยาก เพราะถ้าหากมีเป็นสัดส่วนมาก จะเป็นต้นทุนผู้ประกอบการ เป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม
ขณะเดียวกัน ปัญหาที่ต้องติดตามคือเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา จะกระทบเศรษฐกิจพอสมควร โดยคาดว่ากระทบจีดีพี 0.3% ปีนี้ หากไม่สามารถกลับมาเปิดการค้าชายแดนได้ ซึ่งหากกลับไปเปิดด่านได้ก็อาจไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวไทยมีความเสี่ยงในปีนี้ เพราะนักท่องเที่ยวมาได้น้อย อาจจะเหลือแค่ 31 ล้านคน จากคาดเดิม 33.5 ล้านคน เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนไม่เข้ามา รวมทั้งการงดหรือเลื่อนการจัดกิจกรรมต่างๆทำให้อาจกระทบกับการท่องเที่ยวได้
“กลางปีหน้าได้รัฐบาลใหม่ จะมีความชัดเจนรัฐบาล และทำให้การลงทุนดีขึ้น นักลงทุนมั่นใจ และเงินลงทุนก็จะเข้ามา ส่วนคนละครึ่ง 2.0 ยังไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง คาดว่าคนไม่ได้มีเงินเก็บเยอะ และหนี้เยอะ หากย้อนไปดูรอบแรก ร้านค้าเข้าร่วมโครงการ ทำให้ร้านค้ามียอดขายเพิ่ม อาจช่วยกระตุ้นไม่มาก แต่ช่วยกระจายกำลังซื้อให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็กมียอดขายเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะในในต่างจังหวัด จะมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น”
นายเมธัส กล่าวว่า หนึ่งในโจทย์เร่งด่วนของประเทศคงหนีไม่พ้นการดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยมองว่านโยบายการเงินควรจะมีทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพิ่มปริมาณเงินและสภาพคล่องในระบบเพื่อกระตุ้นเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่กึ่งกลางของกรอบเป้าหมายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 2% และสร้างกระแสเงินทุนระหว่างประเทศให้มีความสมดุลยิ่งขึ้น โดยหากนโยบายการเงินและนโยบายการคลังมีทิศทางที่สอดประสานซึ่งกันและกัน เชื่อว่าจะสามารถแก้โจทย์ที่ท้าทายนี้ได้
“กรณีค่าเงินบาทแข็งค่ากับการหาที่มาของเงินไม่ได้ ทางหน่วยงานต่างๆ ทั้ง ธปท. กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้รวมตั้งทีมหาหาที่มาให้ได้ว่าแต่ละมุมแต่ละจุดไหนหายไปบ้าง โดยตั้งข้อสังเหตุเงินอาจมาจากคริปโตฯ ซึ่งถ้าหาคำตอบได้ว่ามาจากไหน ก็จะจัดการได้ดีกว่านี้ และหาคำตอบทำไมเงินบาทแข็ง มองว่าไม่ควรเกิดขึ้นในลักษณะแบบนี้”
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30
09-30