‘ปิติ’ ซีอีโอทีทีบี เปิดทางรอดวิกฤติหนี้คนไทย หลังชนกำแพงสามด้าน ‘เกษียณ-เอ็นพีแอล-ขาดรายได้’ หนุนรัฐบาลเร่งแก้หนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท พร้อมใช้เครดิตสกอร์ปล่อยกู้คิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยง

วันที่ 9 ต.ค. นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดเผยในงานสัมมนาหัวข้อ แก้วิกฤติ “กับดักหนี้” ทางรอดการเงินไทย จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ระบุว่า วิกฤติหนี้ของไทยเกิดจากคนไทยกำลังชน 3 กำแพง คือ กำแพงอายุ 60 ปี วัยเกษียณแต่ไม่มีรายได้ มีสัดส่วน 9%,มีสัดส่วน 20% ชนกำแพงหนี้เสีย,31% ชนกำแพงรายได้เกิดการกู้เกินตัว ขาดรายได้ ส่วนที่เหลือ 40% แม้จะยังดีอยู่ แต่กำลังจะชนทั้ง 3 กำแพง

ทำให้ต้องติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง คือ รัฐบาลกำลังเร่งแก้หนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งมีลูกหนี้ 70% ของหนี้เสียทั้งหมดให้อยู่รอด และสนับสนุนให้เกิดเครดิตสกอร์ หรือคะแนนเครดิตของผู้กู้ เพื่อนำมาวิเคราะห์สินเชื่อและคิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยง โดยเชื่อมั่นว่า ถ้าแก้เรื่องนี้ได้ประเทศไทยเดินต่อได้

“การตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือเอเอ็มซี มาเพื่อแก้หนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาทให้รอดถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ ซึ่งในเวลานี้ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เคยอยู่บอร์ดธนาคารหลายแห่ง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เคยอยู่ธนาคาร ทำให้มีความเข้าใจ แต่สิ่งที่ต้องแก้หนี้ให้ยั่งยืนได้ต้องมีและใช้พลังมหาศาล โดยสิ่งที่ทำคือ ประชาชนคนไทยจะต้องมีเครดิตสกอร์ด้วยเพื่อนำไปกู้ธนาคาร ไม่ใช่ปล่อยกู้แบบไม่มีข้อมูล ถ้ามีเครดิตสกอร์ จะทำให้คนไทยหวงแหนความน่าเชื่อถือตัวเอง ถ้ามีคะแนน ควรได้ดอกเบี้ยเท่านี้”

นอกจากนี้ อยากให้มีกติกากลางและมีการกำกับดูแล เพราะในเวลานี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการกำกับส่วนหนึ่งคือธนาคารพาณิชย์ ส่วนธนาคารของรัฐ กระทรวงการคลังกำกับร่วมกับธปท. แต่ธปท.ไม่ได้กำกับนอนแบงก์ รวมถึงหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และสหกรณ์ออมทรัพย์ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้กำกับ ทำให้การกำกับดูแลไม่มีกติกากลาง เมื่อเกิดการปล่อยกู้ และลูกหนี้กู้มาจ่ายดอกเบี้ย เงินต้นเพิ่มขึ้น ระยะเวลามากขึ้น สรุปสุดท้ายหนี้ไม่มีวันจบ

นายปิติ กล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือน มาจากการเติบโตรายได้ของคนไทยน้อยลงเรื่อยๆ และเรื่องของรายได้ มีค่าใช้จ่ายสูงโตมาก รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ก็ต้องกู้ ทำให้เกิดหนี้ครัวเรือน ถ้าหากกู้จ่ายแต่ดอกเบี้ย ในเวลาไม่นาน คนไทยมีหนี้เท่าตัว โดยหนี้ครัวเรือนเกิดจาก 3 ส่วน คือ หนี้ธนาคารพาณิชย์,หนี้แบงก์รัฐ และหนี้สหกรณ์ นอนแบงก์ แต่ยังไม่รวมหนี้นอกระบบ ถ้ารวมทั้งหมดน่าจะเกิน 100% ของจีดีพี จากปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 86.8% ต่อจีดีพี

ขณะที่หนี้เสียเอ็นพีแอลในระบบ พบว่า หนี้เสียนอนแบงก์มีสูงที่สุด รองลงมาเป็นหนี้เสียแบงก์รัฐ และหนี้เสียธนาคารพาณิชย์น้อยที่สุด ส่วนการปล่อยสินเชื่อที่ยังไปต่อได้ คือ สินเชื่ออุปโภคบริโภค เพราะเป็นการจับจ่ายใช้สอย แต่สินเชื่อที่ลดลงคือ สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อบ้าน ซึ่งสองประเภทนี้เป็นตัวหลักในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร โดยสาเหตุสินเชื่อลด เพราะคนซื้อรถ คนซื้อบ้านลด เนื่องจากปัญหาทางด้านรายได้ และปัญหาทางด้านเครดิต ซึ่งการมีคะแนนเครดิตสกอร์ จะทำให้ธนาคารต้องปล่อยกู้และคิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยง หรือเรียกว่า risk based pricing